วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2556

เอาใจเขามาใส่ใจเรา



ในการอยู่ในสังคมโดยเฉพาะการใช้ชีวิตคู่ การรู้จักคำว่า "เอาใจเขามาใส่ใจเรา" นั้นเป็นสิ่งที่เราต่างได้รับการสั่งสอน อบรม สืบทอด มาตั้งแต่เล็ก การเอาใจเขามาใส่ใจเราเป็นเรื่องที่ทำได้ยากเอาเข้าจริงแล้วถ้าเปรียบเทียบกับยุคสมัยที่ใครๆต่างก็สนใจแต่ตัวเองเป็นหลัก เขียนแบบนี้ไม่ได้แปลว่ามนุษย์ทุกวันนี้เห็นแก่ตัวทั้งหมดเพียงแต่เราให้ความสำคัญกับตัวเองมากขึ้นกว่าแต่ก่อน นั่นเป็นสาเหตุให้การ "เอาใจเขามาใส่ใจเรา" ดูเป็นเรื่องที่ยากขึ้นมาสำหรับคนบางคน

ถ้าเรามองในแง่ศาสนาพุทธ เราจะพบว่าการเอาใจเขามาใส่ใจเรานั้นจัดอยู่ในหลักธรรมที่เราเรียกว่า "นิโรธ" ซึ่งนิโรธเองประกอบด้วย 5 หลักการคือ ปทาน 5 วิมุตติ 5 วิเวก 5 วิราคะ 5 และ โวสัคคะ 5 โดยทั้ง 5 หลักการกล่าวถึง การละกิเลส ความหลุดพ้น ความสงัดและความปลีกออก ความคลายกำหนัดและความสำรอก สุดท้ายคือความสลัดและความปล่อย โดยแต่ละหลักการย่อยก็ประกอบด้วยเรื่องต่างๆ 5 เรื่อง ซึ่งการที่เราอยากจะเอาใจเขามาใส่ใจเรานั้นต้องเริ่มจากการที่เราปล่อยวางตัวตน ความคิด และ จิตใจ ของเรา เราเริ่มที่จะลดความสำคัญกับสิ่งที่เราคิดว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ใหญ่ที่สุดของเราเพื่อให้เกิดพื้นที่ในการรับสิ่งใหม่ที่เราจะนำมา "ใส่" การปลอดปล่อยหรือละในสิ่งที่เรามีอยู่นั้นจะทำได้มากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลว่าชาติกำเนิด การเลี้ยงดู สิ่งแวดล้อมต่างๆ ประสบการณ์ชีวิต จะทำให้เราละทิ้งได้ขนาดไหน ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วการละ การเลิก นั้นเราจัดว่าเป็นทักษะทางใจที่เราทุกคนสามารถฝึกฝนกันได้ เพราะสำหรับคนที่ไม่เคยทำสิ่งนั้นมาก่อน เรื่องเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ยกตัวอย่างเช่น การจะทิ้งเสื้อผ้าสำหรับคนที่รักเสื้อผ้าเห็นคุณค่าของเสื้อผ้าหรืออาจจะเป็นเพราะเสียดายของ กว่าจะซื้อมาแต่ละตัวก็ต้องเก็บหอมรอมริด เดินเลือกอยู่หลายครั้งหลายครา บางครั้งอาจไปซื้อมาจากต่างประเทศ พอเวลาผ่านไป เสื้อผ้าเริ่มเก่า แบบเริ่มล้าสมัย เจ้าของอาจจะเริ่มใส่แล้วอึดอัด บางคนก็อาจจะยังคงเก็บไว้เป็นที่ระลึกหรือหวังว่าจะเอามาใส่ได้อีก หรือจะด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่ ซึ่งทำให้เราไม่สามารถที่จะ "ละ" เสื้อผ้าเหล่านั้นจากตู้เสื้อผ้าของเราได้ ซึ่งถ้าเราถอยออกมามองเหตุการณ์ทั้งหมดอีกซักก้าวสองก้าวเราเองก็จะพบว่า เสื้อผ้าเหล่านั้นเราเองก็แทบจะไม่ได้ใส่ เก็บไว้ก้มีแต่จะเก่าและก็ผุพังไปตามกาลเวลา ทำไมเราถึงไม่เริ่มที่นำมันออกมา อาจจะไปขายร้านมือสอง ยกให้ญาติพี่น้อง หรือ บริจาคให้กับคนที่ยังขาด เรืิ่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่เราต้องฝึกฝนใจของเรา ทำหลายครั้ง ทำเรื่อยๆ อย่างน้อยสามครั้ง เราเองก็จะเริ่มคุ้นเคย จะเห็นว่าเมื่อใดก็ตามเราเริ่มจำหน่ายเสื้อผ้าเราออกไป ตู้ของเราก็จะมีที่ว่างมากขึ้นเพียงพอที่เราจะหาเสื้อผ้าใหม่มาใส่เข้าไปหรืออาจจะทำให้ตู้เสื้อผ้าดูโล่งโปร่งสบายและไม่อับ ซึ่งสิ่งที่พูดมาทั้งหมดก็เหมือนกับใจคน สมองคน ความคิดของคน

การที่จะเอาใจเขามาใส่ใจเรานั้น จะต้องอาศัยการฝึกฝนทักษะหลายอย่างเช่น การฟังโดยปราศจากอคติ การฝึกความอดทนที่จะไม่โต้ตอบถึงแม้จะไม่เห็นด้วย การแสดงการรับรู้ในเรื่องที่เรา ฟังอย่างที่เขาเล่า คิดเหมือนกับที่เขาคิด รู้สึกเหมือนกับที่เขารู้สึก ซึ่งการที่เราเอาสมองและจิตใจของเราไปนั่งในฝั่งที่เขาอยู่ เราเองย่อมได้ประสบการณ์ในการที่จะรู้สึกอย่างที่เขารู้สึกและเข้าใจว่าทำไมเขาถึงรู้สึกแบบนั้น ไม่ว่าจะดีหรือจะร้ายก็ตาม ทีนี้ประเด็นที่สำคัญก็คือหลังจากที่เราฟังจนจบ เรากลับมาเป็นตัวเรา การตัดสินในสารที่เราเพิ่งจะได้รับมาย่อมมาจากประสบการณ์ชีวิตและพื้นเพของแต่ละบุคคล เพราะการตัดสินนั้นเกิดจากทัศนคติ ซึ่งพัฒนามาจากความเชื่อและคุณค่าของสิ่งต่างๆที่บุคคลนั้นยึดถือไว้

หลายๆคนหรือแม้กระทั้งตัวเราเอง บางทีก็มองว่าการที่เราเอา "ใจเขา" มาใส่ "ใจเรา" ตลอดนั้น เรากำลังถูกเอารัดเอาเปรียบทางความรู้สึกอยู่หรือไม่ แล้วทำไมต้องเป็นเราที่่ต้องเป็นคนทำแบบนี้ นั่นอาจจะเป็นคำถามของหลายๆคน คำตอบที่จะให้ต่อไปนี้เป็นมุมมองของผู้เขียนโดยตรงคือความเมตตา ความปราถนาที่จะเห็นคนอีกคนหนึ่งมีความสุข ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วมัันคือ "ความรัก" ที่คนๆหนึ่งจะมีให้ต่อเพื่อนมนุษย์อีกคนหนึ่ง ซึ่งความรักนั้นแต่ละคนย่อมมีไม่เท่ากัน บางคนมีมากก็สามารถให้มากๆได้ บางคนมีน้อยก็อยากให้มากๆ บางคนมีมากแต่ให้ได้น้อยหรือบางครั้งไม่สามารถจะให้ได้ ดังนั้นความรักและความเมตตาในตัวบุคคลจึงเป็นสิ่งสำคัญที่คนๆหนึ่งจะยอมละทิ้งในสิ่งที่ตนเองเป็นและมี เพียงเพื่อจะได้นำความคิดและความรู้สึกของบุคคลที่เราต้องการจะเมตตานำมาใส่ในใจและในความคิดของเรา เพื่อจะก่อให้เกิดการกระทำอะไรบางอย่างที่ทำให้อีกฝั่งอาจจะทุกข์น้อยลงหรือมีความสุขมากขึ้นก็แล้วแต่

ในความสัมพันธ์ของมนุษย์การที่เรารู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราถึอเป็นทักษะทางสังคมที่จะทำให้สังคมโดยรวมนั้นอยู่รอด ถ้าจะมองให้แคบลงมา ในความสัมพันธ์แบบคู่รักหรือครอบครัว การเอาใจเขามาใส่ใจเราจะทำให้ความสัมพันธ์นั้นเจริญงอกงามและยั่งยืนเพราะรากแก้วแห่งความรักและความปราถนาดีของทั้งสองฝั่งนั้นได้หยั่งรากลึกลงไปใต้ผืนดินเรื่อยๆ ลำต้นแห่งความรักเจริญเติบโตแผ่กิ่งก้านสาขาเมื่อเวลาผ่านไป

การทำบุญไม่ต้องไปทำที่ไหนไกล แค่เพียงเมตตากับคนใกล้ๆ ความสุขที่ควรจะได้ก็จะเกิดขึ้นทันตา

"ที่รัก เดี๋ยวผมจะไปขอโทษคุณนะ"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น